ตำนาน ภูกระดึง
 
ครืน ครืน ครืน ...
เสียงฟ้าคำรามลั่นจนสนั่นป่า สลับกับ แสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
จนดูปวดตา ฝนที่ตกปรอยๆ ในตอนแรกเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น
เม็ดของน้ำฝนมันใหญ่จนรู้สึกเจ็บเมื่อยามกระทบกับเนื้อตัว
พรานบุญปาดเม็ดฝนที่เกาะพราวบนใบหน้าออก
แล้วเอาผ้าขาวม้าที่โพกหัวออกมาคลี่พับ เป็น 2 ส่วน จัดแจงนำมา
คุลมหัวเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นผมอันยาวรุงรัง และเปียกชุ่ม
ตกลงมาแทงตาได้

"เอ.. มันหายไปไหนได้ ตะกี้ยังตามาติดๆ " 
เสียงบ่นพึมพำของพรานหนุ่มดังลอดลำคอ ออกมาเบาๆ

"ไอ้ยอดเขาโน่นมันมีอารายหว่า ลองขึ้นไปดูดีกว่า เผื่อว่าไอ้กระทิง
โทนมันจะขึ้นไป" เขาคาดเดาอย่างนั้น มือทั้งสองกำกระบอกปืนไม้
ที่อัดแก๊ปไว้แน่นอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

พรานบุญ .. ไม่รู้หรอกว่าบนยอดเขาข้างหน้านั้น มีอะไร
และจะต้องใช้เวลาปืนขึ้นไปนานเท่าไหร่ ทุกอย่างเป็นปริศนา
เพราะแม้แต่คนรุ่นปู่รุ่นพ่อที่ยึดอาชีพพรานล่าสัตว์ ก็ยัง
ไม่เคยขึ้นไปเลยสักคน เมื่อเช้านี้พรานบุญออกล่าสัตว์ บังเอิญได้
พบกระทิงโทนตัวหนึ่งยืนอยู่ตืนเขา ด้วยหัวใจลำพองของคน
วัยฉกรรจ์ที่คิดจะล้มกระทิงโทนตัวใหญ่นั้น กลับไปอวดเพื่อนบ้าน
 ทำให้เขากล้าตัดสินใจสะกดรอยตามมันไปตลอดเวลา หวังจะ
ใช้ปืนแก๊ปส่องสังหารเจ้าสัตว์เคราะห์ร้ายตัวนั้นให้ได้ ซึ่งพรานบุญ


จะต้องหาวิถีทางที่จะยิงปืนนัดเดียวแล้มล้มกระทิงให้แน่นิ่งทันที
เนื่องจากปืนแก๊ปของเขายิ่งได้ครั้งละนัดเดียวเท่านั้น หากจะยิงซ้ำ
จะต้องใช้เวลาไม่น้อย และหากเจ้ากระทิงยักษ์ยังไม่ล้มลง ตัวพราน
เองนั่นแหละจะจะต้องล้ม...

จุดตายที่พรานบุญคิดไว้ก็คือ บริเวณหน้าผากมัน... นัดเดียวเอาให้
ล้มตึงเลย แต่จนแล้วจนเล่า เจ้ากระทิงโทน ก็ไม่ปล่อยโอกาศให้
พรานหนุ่มง่ายๆ เขาต้องสะกดรอยตามอยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่ง
ฝนตกหนัก เจ้ากระทิงโทนก็หายไปโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ

พรานบุญก็ไม่ท้อ ในขณะที่เขากำลังปืนขึ้นภูโดยลำพังอยู่นั้น 
เขาก็ได้ฉุกคิดได้ว่า บนยอดเขานี้ชาวบ้านลือกันว่า มีกระดิ่งใหญ่
ซึ่งพระอินทร์จะลงมาตีทุกวันพระ ตัวเขาเองก็เคยได้ยินเสียงเหง่ง
หง่าวที่ว่านี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าใด

"ไม่เจอกระทิงก็เจอพระอินทร์ ล่ะวะงานนี้" 
เขาคิดทีเล่นทีจริงปลอบใจตัวเอง

และจากฝีเท้าของพรานหนุ่ม พรานบุญก็ สามารถพิชิตยอดเขาได้
อย่างไม่ยากเย็นนัก ทันที เมื่อเขาโผล่พ้นทางช่วงสุดท้าย ขึ้นไปได้ ก็ต้องตะลึง!
 

 
อะไรกันนั่น
ทำไมยอดเขาบนนี้ถึงได้ลาดเรียบยังกับแผ่นดินข้างล่าง และช่างกว้าง
จนสุดลูกหูลูกตา รึว่าพระอินทร์ท่านเอามีดมาปาดยอดเขา

พรานบุญสังเกตพบว่า พื้นที่อันกว้างใหญ่บนยอดเขานี้เป็นทุ่งหญ้า
เขียวขจี บางช่วงเป็นป่าสนต้นสูงใหญ่ขึ้นสลับกัน กับต้นไม้อื่น 
ผิดแผก กับป่ารอบเขาโดยสิ้นเชิง

อะไรก็ยังไม่ทำให้พรานบุญงงเท่ากับ บรรดาเก้ง กวางทั้งหลายมาก
มายจนนับไม่ถ้วน ไม่ได้สนใจ หรือกลัวพรานบุญแม้แต่น้อย
มันคงยังและเล็มหญ้าอ่อนที่ระบัดเขียวยามฤดูฝนอย่างเป็นสุข

ฝนขาดเม็ดสนิทไปแล้ว พรานบุญ ก็งงจนแทบจะขาดใจ เพราะเกิดมา
ไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แม้แต่เรื่องเล่าแบบที่เขาเห็นยามนี้
ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาได้ค้นพบสิ่งแปลกประหลาดบนภูแห่งนี้
เป็นคนแรกเข้าให้แล้ว

กระทิงโทนที่เขากำลังตามล่าไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาอีกต่อไป
ปืนผาหน้าไม้ที่เตรียมมาก็ไม่ได้ยิงสักโป้งตั้งแต่เช้า หลังจากใช้เวลา
สำรวจดูหลายสิ่งหลายอย่าง พรานบุญก็รีบลงจากยอดเขา ก่อนที่จะค่ำ
พอลงจากบอดเขา เขาก็รี่ตรงเข้าหมู่บ้านท่ามกลางความืด จนกระทั่ง
ถึงบ้านเขา ก็ยังผลุนผลันเข้าเรือนโดยไม่สนใจคำทักทาย
ของคนในบ้าน

"เฮ้ย ไอ้ทิดบุญ ไม่ได้อะไรติดมือมาบ้างเรอะ หายหัวไปทั้งวัน" 
เสียงลุงแกว่น ซึ่งมานั่งคุย ด้วยกับแม่ของเขาตะโกนล้อเล่นอย่าง
คนกันเอง

"นี่ลุง นี่แม่ ฉันได้ยิ่งกว่าเสียอีก"
 "ได้อะไรวะ ไม่เห็นมีสักกะอย่าง"
"ฉันได้ความลับบนยอดเขาโน่นไง"
 
 


"เจอลายแทงรึไงวะ" ยายช้อยแม่ของเขาถามกระแทกเสียง 
คิ้วขมวดเข้าหากัน
"เอียงหูมาสิแม่ สิลุง"
.........................................

"พรานบุญว่าไงครับพี่"  ผู้เขียนก็ได้ถามคนเล่าเรื่องนี้อย่างสนใจ

"ไม่รู้หรอก เขาเล่ามาแค่นี่น่ะแหละ แต่มันก็เป็นตำนานของภูกระดึง
นะคุณ เป็นตำนานแท้ขนานเดียวจริงๆ"

ผู้เขียนก็ผยักหน้าหงึกๆ อดที่แหงนมองท้องฟ้า อันสีเทาไม่ได้ ภายใต้
นภานี่นะมันก็มีเรื่องแปลกอยู่มากมาย ยิ่งเรื่องของภูกระดึงด้วยล่ะก็
มันแสนมหัศจรรย์จริงเชียว

ภูกระดึงในกาลเวลาต่อมา...

ครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 
สมุหเสนาภิบาล (พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมประจักษ์ (ศิลปาคม) ) ได้ทำ
รายสภาพภูมิศาสตร์เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.
2463 นายอำเภอวังสะพุง ซึ่งปกครองท้องที่เขตภูกระดึงในขณะนั้น
ได้ขึ้นไปสร้างพระพุทธรูปไว้บนยอดภูกระดึง ทุกวันนี้ยังมี
พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวประดิษฐานอยู่

จากวันนั้นถึงวันนี้เกือบ 80 ปีแล้วที่พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวสง่างาม
อยู่ท่ามกลางทิวสน สายหมอก และสายลมอันหนาวเหน็บ

และนี่ก็คือเรื่องราวความเป็นมาของภูกระดึง ดินแดนแสนมหัศจรรย์
ธรรมชาติ